You must always check a silence, not because the baby might have choked, but because it is in the middle of destroying something, thoroughly and slowly, with great and secret pleasure. It is important to remember this — you run back to the room, not to see if the baby needs resuscitation, but to save your floppy disks. Once you realise where the balance actually lies you can free yourself from the prison of worry. I know this. I am an expert. Some people, as they mount the stairs, might listen for the sound of a toy still in use — to me, this was the sound of the baby randomly kicking buttons in a sudden choking or epileptic fit. I used to read the ‘Emergencies’ section in the How to Kill Your Baby books all the time. The How to Kill Your Baby books are so popular that I assume some part of us wants to do just that. If the unconscious works by opposites, then it is a murderous business too, giving birth.
How to Kill Your Baby: A List:
Too much salt, fungally infected honey, a slippy bath surface, suddenly jealous pets, permanently jealous siblings, a stupid or pathological babysitter, the stairs, a house that goes on fire while you are ‘outside moving the car’, a child-snatcher, a small plastic toy, a playful jiggle that is as bad as a shake, an open cutlery drawer, a necklace, a string, a plastic bag, a piece of burst balloon, an electric cord, a telephone cord, a lollipop, a curtain cord, an inhaled sweet, an accidentally suffocating pillow, a smoky room, the wrong kind of mattress, an open window, a milk allergy, a nut allergy, a bee sting, a virus, a bacterial infection, a badly balanced walker, a bottle of bleach, all kinds of weedkiller, both on the lawn or in the bottle, pesticides, miscellaneous fumes, all carcinogens including apples, a failure to apply sun cream, the lack of a hat, battery-produced eggs, inorganic meat, cars. You might also have Munchausen’s syndrome by proxy without knowing it, so it is a good idea to check yourself for this, from time to time.
As far as I can see from the news reports, one of the most dangerous creatures in a child’s life is a stepfather, but the books don’t seem to mention them. They warn against mothers’ endless sloppiness with dangerous domestic objects, but they never mention their taste in men.
When the baby is eight months old, she cries every time I move out of sight. This separation anxiety can get quite wearing — it is so large and so illogical. Besides, I don’t need to be reminded that I’m not going anywhere, I am with this baby all the time. But I wonder if part of the problem isn’t my own anxiety when I leave the room. Will she still be alive when I get back? I picture the court case.
‘And why, pray tell, did you leave the baby?’
‘I . . . A call of nature, your honour.’
He pauses. A ripple of sympathy runs through the courtroom.
‘Well, I suppose even the best mothers must er um,’ though you know he thinks we shouldn’t. ‘Case dismissed. I suppose.’
Mothers worry. Fathers worry too, of course. But mothers are supposed to worry, and fathers are supposed to reassure. Yes, she is all right on the swing, no, he will not fall into the stream, yes, I will park the buggy in the shade, oh, please get a grip.
Is it really a gender thing? Maybe the people who worry most are the ones who spend the most time with the baby, because babies train us into it — the desperation of holding, walking, singing, distracting. Babies demand your entire self, but it is a funny kind of self. It is a mixture of the ‘all’ a factory worker gives to the conveyor belt and the ‘all’ a lover offers to the one he adores. It involves, on both counts, a fair degree of self-abnegation.
This is why people who mind children suffer from despair; it happens all of a sudden — they realise, all of a sudden, that they still exist. It is to keep this crux at bay perhaps — that is why we worry. Because worry is a way of not thinking something through.
I think worry is a neglected emotion — it is something that small-minded people do — but it has its existential side too. Here is the fire that burns, the button that chokes, here is the kettle, the car, the bacterium, the man in a mac. On the other side is something so vulnerable and yet so huge — there is something unknowable about a baby. And between these two uncertainties is the parent; completely responsible, mostly helpless, caught in an ever-shrinking circle of guilt and protectiveness, until a kind of frozen passivity sets in. There is a kind of freedom to it too — the transference of dread from the self to the child is so total: it makes you disappear. Ping! Don’t mind me.
The martyred mother is someone uplifted, someone who has given everything. She is the reason we are all here. She is also, and even to herself, a pain in the neck.
I think mothers worry more than fathers because worry keeps them pregnant. To worry is to possess, contain, hold. It is the most tenacious of emotions. A worry — and a worrier — never lets go. ‘It never ends,’ says my mother, ‘it never ends,’ meaning the love, but also the fret.
Because worry has no narrative, it does not shift, or change. It has no resolution. That is what it is for — not ending, holding on. And sometimes it is terrible to be the one who is held, and mostly it is just irritating, because the object of anxiety is not, after all, you. We slip like phantoms from our parents’ heads, leaving them to clutch some Thing they call by our name, because a mother has no ability to let her child go. And then, much later, in need, or in tragedy, or in the wearing of age, we slip back into her possession, because sometimes you just want your mother to hold you, in her heart if not in her arms, as she is still held by her own mother, even now, from time to time.
Anne Enright, ‘Worry’ in Making Babies: Stumbling into Motherhood, London: Vintage, 2005, 177-79.
คอยตรวจตราดูทุกครั้งเวลาที่ทารกตัวน้อยของคุณเงียบไป ไม่ใช่เพราะเด็กอาจจะสำลักหรอก แต่เพราะเด็กกำลังพังข้าวของอยู่ พังเบาๆ แต่ก็เอาเสียย่อยยับ แถมยังแอบกระหยิ่มยิ้มย่องไปด้วย จำตรงนี้ไว้ให้ดีนะ ถ้าคุณต้องวิ่งกลับไปที่ห้อง ไม่ใช่ไปดูเผื่อต้องกู้ชีพเด็ก แต่ไปเพื่อกู้ภัยฟลอปปีดิสก์ต่างหากล่ะ เมื่อไรก็ตามที่คุณเริ่มหาจุดสมดุลได้แล้ว เมื่อนั้นแหละคุณก็จะเป็นอิสระจากความกังวลที่คุมขังคุณอยู่ ฉันรู้เรื่องนี้ดี เชี่ยวชาญเลยล่ะ ผู้ใหญ่บางคนเวลาเดินขึ้นบันไดอาจจะเงี่ยหูฟังเสียงเด็กเล่นของเล่น แต่ถ้าเป็นฉันจะคิดว่าเสียงนั้นเป็นเสียงเด็กกำลังเตะกระดุมไปมาตอนกำลังสำลักหรือลมชักกำเริบ ฉันเคยอ่านบทชื่อ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ในพวกหนังสือเลี้ยงลูกยังไงให้ตายเป็นประจำ หนังสือจำพวกนี้เป็นที่นิยมมากเสียจนฉันสงสัยว่าจริงๆ แล้วพ่อแม่แอบอยากทำตามคำแนะนำในหนังสือหรือเปล่า สมมตินะว่าจิตไร้สำนึกทำงานอิงกับขั้วตรงข้าม ฉันว่ามันก็เป็นการฆาตกรรมเหมือนกันนะ ไอ้การคลอดลูกเนี่ย
เลี้ยงลูกยังไงให้ตาย: เกิดจากสิ่งต่อไปนี้
เกลือเกินขนาด น้ำผึ้งขึ้นรา พื้นลื่นจนชวนหกล้ม สัตว์เลี้ยงที่จู่ๆ ก็ขี้อิจฉา พี่น้องที่เมื่อไรก็ขี้อิจฉา พี่เลี้ยงบ้องตื้นหรือโรคจิต บันได บ้านที่ลุกเป็นไฟตอนที่คุณแค่ “ออกไปถอยรถข้างนอก” แก๊งลักเด็ก ของเล่นพลาสติกอันจ้อย การเขย่าเล่นๆ ที่แรงจนตัวโยก ลิ้นชักใส่มีดส้อมที่เปิดค้างไว้ สร้อยคอ เชือก ถุงพลาสติก เศษลูกโป่งแตก สายไฟ สายโทรศัพท์ อมยิ้ม ลวดขึงผ้าม่าน ลูกอมติดคอ หมอนที่จู่ๆ ก็กลายเป็นที่อุดจมูก ห้องควันโขมง ฟูกผิดประเภท หน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ อาการแพ้นม อาการแพ้ถั่ว แผลผึ้งต่อย ไวรัส แบคทีเรียติดเชื้อ รถหัดเดินที่ขาไม่เท่ากัน ขวดน้ำยาฟอกขาว น้ำยาฆ่าหญ้าทุกประเภททั้งตอนอยู่บนสนามหญ้าและตอนอยู่ในขวด ยาฆ่าแมลง ไอระเหยแบบต่างๆ สารก่อมะเร็งทุกรูปแบบรวมถึงแอปเปิล การลืมทาครีมกันแดด การไม่ใส่หมวก ไข่จากการเลี้ยงระบบปิด เนื้อไม่ออแกนิก รถยนต์ หรือตัวคุณเองอาจจะเป็นโรค MSBP[1]โดยไม่รู้ตัวก็ได้ ดังนั้นแนะนำให้คอยเช็คตัวเองซะบ้างเป็นบางครั้งบางคราวก็ดีนะ
เท่าที่ฉันเห็นจากพวกรายงานข่าว หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดในชีวิตเด็กก็คือพ่อเลี้ยง แต่หนังสือพวกนี้ไม่เห็นพูดถึงเลย หนังสือชอบเตือนเรื่องความประมาทเลินเล่อของแม่กับอุปกรณ์ในบ้านอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น แต่ไม่เห็นเคยเตือนเรื่องสเปคผู้ชายของแม่เลย
ตอนที่เด็กน้อยของฉันอายุแปดเดือน เธอจะร้องไห้ตลอดเวลาฉันไม่อยู่ในสายตา อาการวิตกกังวลตอนไม่อยู่ด้วยกันมันเริ่มมากเสียจนเหนื่อยใจ ทั้งมากและไร้เหตุผลสิ้นดี เอาจริงๆ นะ เธอไม่ต้องคอยเตือนฉันก็ได้ว่าฉันไปไหนไม่ได้เลยนอกจากคอยเฝ้าเด็กคนนี้ตลอดเวลา แต่ก็สงสัยเหมือนกันว่าส่วนหนึ่งของปัญหาอาจจะเป็นเพราะฉันเองนั่นแหละที่กังวลเวลาที่ตัวเองไม่อยู่ในห้อง พอฉันกลับเข้าห้องมาเธอจะยังมีชีวิตอยู่ไหมนะ ฉันเริ่มจินตนาการภาพการพิจารณาคดีในศาล
“ศาลต้องการทราบว่าเหตุใดจำเลยจึงทิ้งเด็กไว้ลำพัง”
“ดิฉัน...จำเป็นต้องไปปลดทุกข์ค่ะ ศาลที่เคารพ”
ท่านผู้พิพากษาเงียบ สัมผัสได้ถึงความเห็นอกเห็นใจที่แผ่ไปทั่วห้องพิพากษา
“เอาล่ะ ศาลเข้าใจว่าแม้กระทั่งแม่ที่ประเสริฐที่สุดก็ยังต้อง เอ่อ เอิ่ม” ถึงแม้จะรู้กันดีว่าท่านพิพากษาเห็นว่าแม่ไม่ควรทำแบบนั้น “ศาลยกฟ้อง ก็ได้”
แม่กังวล แน่นอนพ่อก็กังวล แต่แม่จำเป็นต้องกังวล ส่วนพ่อต้องคอยปลอบขวัญแม่ ใช้จ้ะ ลูกเล่นชิงช้าได้ไม่เป็นไร ไม่ ลูกไม่ตกน้ำหรอกจ้ะ ใช่จ้ะ เดี๋ยวเอารถเข็นไปจอดในร่ม โถ่ ใจเย็นๆ นะจ๊ะ
มันเกี่ยวกับเพศจริงๆ เหรอ บางทีคนที่กังวลที่สุดอาจเป็นคนที่ใช้เวลาอยู่กับเด็กมากที่สุด เพราะเด็กนั่นแหละที่ฝึกให้เรากังวล ไหนจะต้องอุ้ม ต้องพาเดิน ต้องร้องเพลง ต้องคอยเรียกร้องความสนใจ เด็กๆ ต้องการให้คุณทุ่มหมดตัว แต่เป็นการทุ่มหมดตัวแบบประหลาดๆ คือมันปนๆ กันระหว่างการ “ทุ่มหมดตัว” แบบที่พนักงานทุ่มให้กับสายพานในโรงงาน และการ “ทุ่มหมดตัว” ที่คนรักทุ่มให้กับคนที่เขารักสุดหัวใจ และการทุ่มทั้งสองแบบนี้มักมาคู่กับการลืมนึกถึงตัวเองอย่างไม่มากก็น้อย
นั่นแหละคือสาเหตุที่คนเลี้ยงเด็กจะรู้สึกสิ้นหวัง มันมักจะเกิดขึ้นแบบกะทันหัน จู่ๆ พวกเขาก็จะนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขามีตัวตน และเพื่อที่จะไม่ต้องคอยคิดถึงเรื่องนี้ พวกเราเลยต้องกังวล เพราะความกังวลมันทำให้เราสมองตื้อจนไม่ทันคิดถึงมัน
ฉันว่าความกังวลเป็นความรู้สึกที่คนมักมองข้ามนะ มันเป็นความรู้สึกของคนโลกแคบ แต่เอาจริงๆ มันก็มีด้านที่เป็นปรัชญาชีวิตอยู่ ตรงนึงก็มีทั้งไฟที่พร้อมจะไหม้ กระดุมที่พร้อมจะไปติดคอ ตรงนี้ก็มีกาต้มน้ำ มีรถยนต์ มีแบคทีเรีย มีผู้ชายชอบโชว์ แต่เมื่อมองไปอีกทางหนึ่งก็มีสิ่งที่ช่างบอบบางแต่ก็ช่างยิ่งใหญ่ในเวลาเดียวกัน มีบางอย่างเกี่ยวกับเด็กที่เกินกว่าผู้ใหญ่อย่างเราจะหยั่งถึง และระหว่างสองสิ่งที่เกินคาดเดานี้ก็มีพ่อแม่ ผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบ แต่จะกี่รอบก็ดูจนปัญญา ซ้ำยังติดอยู่ในวงเวียนของความรู้สึกผิดและความต้องการปกป้องดูแลที่บีบรัดพวกเขาอยู่ทุกวัน จนกระทั่งถึงจุดที่พวกเขาเริ่มหยุดนิ่งและไม่แคร์อะไรแล้ว การเป็นพ่อแม่ยังให้อิสระ เพราะมันคือการถ่ายทอดความกลัวที่พ่อแม่มีต่อตัวเองไปสู่ลูกอย่างสมบูรณ์ จนกระทั่งตัวพ่อแม่เองหายวับไปกับตา ปิ๊ง! ลืมไปเลยแล้วกันว่าเคยมีฉันอยู่
แม่ผู้พลีตนคือคนมีจิตผ่องแผ้ว คนที่ยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง แม่คนนี้แหละคือเหตุผลที่พวกเรามาอยู่ตรงนี้ แต่แม่คนนี้เหมือนกันที่แม้กระทั่งในสายตาของตัวเธอเองก็ยังโคตรน่ารำคาญเลย
ฉันคิดว่าแม่กังวลมากกว่าพ่อเพราะความกังวลทำให้พวกเธอตั้งครรภ์และคิดเรื่องสาระพันกันอยู่เรื่อยๆ การกังวลคือการครอบครอง การได้เอาอะไรมาใส่ตัว การได้กอดบางอย่างเอาไว้ มันเป็นความรู้สึกที่สลัดยังไงก็ไม่หลุด ความกังวลและคนขี้กังวลไม่มีทางยอมปล่อยมือ “มันไม่มีวันจบหรอก” แม่ฉันเคยบอกไว้ “มันไม่มีวันจบหรอก” สื่อว่าสิ่งที่ไม่จบคือความรัก รวมถึงความวิตกกังวลด้วย
เพราะความกังวลไม่มีเส้นเรื่องราว ไม่มีจุดพลิกผัน หรือจุดเปลี่ยน ไม่มีจุดคลี่คลาย นี่แหละคือสาเหตุที่มันดำรงอยู่ ไม่ใช่เพื่อจบบริบูรณ์ แต่เพื่อให้เรากอดเอาไว้ตลอดไป และบางครั้งมันแย่นะที่ต้องเป็นคนถูกกอด ส่วนใหญ่มันน่ารำคาญ เพราะในที่สุดแล้วสิ่งที่ทำให้พ่อแม่กังวลไม่ใช้ตัวเราหรอก เราจะหลุดหายไปจากใจของพ่อแม่เหมือนเป็นวิญญาณ ปล่อยให้พวกเขายึดสิ่งนั้นที่เขาเรียกด้วยชื่อของเรา เพราะคนเป็นแม่ไม่สามารถปล่อยลูกไปได้ และหลังจากนั้นไปอีกนาน ไม่ว่าจะด้วยความต้องการ หรือด้วยโศกนาฏกรรม หรือด้วยความแก่เฒ่า เราจะกลับไปอยู่ในครอบครองของแม่ เพราะบางครั้งเราก็แค่ต้องการให้แม่กอดเราไว้ในหัวใจถ้าไม่ใช่ด้วยสองแขน เหมือนกับที่แม่เองก็ถูกกอดไว้โดยแม่ของแม่ แม้กระทั่งทุกวันนี้ เป็นบางครั้งบางคราว
[1] Munchausen’s syndrome by proxy หรืออาการที่คนดูแลกุสถานการณ์หรือก่อให้เกิดสถานการณ์บาดเจ็บทางสุขภาพต่อผู้ที่ถูกดูแล ซึ่งมักเป็นการกระทำที่ผู้ใหญ่กระทำต่อเด็ก
You must always check a silence, not because the baby might have choked, but because it is in the middle of destroying something, thoroughly and slowly, with great and secret pleasure. It is important to remember this — you run back to the room, not to see if the baby needs resuscitation, but to save your floppy disks. Once you realise where the balance actually lies you can free yourself from the prison of worry. I know this. I am an expert. Some people, as they mount the stairs, might listen for the sound of a toy still in use — to me, this was the sound of the baby randomly kicking buttons in a sudden choking or epileptic fit. I used to read the ‘Emergencies’ section in the How to Kill Your Baby books all the time. The How to Kill Your Baby books are so popular that I assume some part of us wants to do just that. If the unconscious works by opposites, then it is a murderous business too, giving birth.
How to Kill Your Baby: A List:
Too much salt, fungally infected honey, a slippy bath surface, suddenly jealous pets, permanently jealous siblings, a stupid or pathological babysitter, the stairs, a house that goes on fire while you are ‘outside moving the car’, a child-snatcher, a small plastic toy, a playful jiggle that is as bad as a shake, an open cutlery drawer, a necklace, a string, a plastic bag, a piece of burst balloon, an electric cord, a telephone cord, a lollipop, a curtain cord, an inhaled sweet, an accidentally suffocating pillow, a smoky room, the wrong kind of mattress, an open window, a milk allergy, a nut allergy, a bee sting, a virus, a bacterial infection, a badly balanced walker, a bottle of bleach, all kinds of weedkiller, both on the lawn or in the bottle, pesticides, miscellaneous fumes, all carcinogens including apples, a failure to apply sun cream, the lack of a hat, battery-produced eggs, inorganic meat, cars. You might also have Munchausen’s syndrome by proxy without knowing it, so it is a good idea to check yourself for this, from time to time.
As far as I can see from the news reports, one of the most dangerous creatures in a child’s life is a stepfather, but the books don’t seem to mention them. They warn against mothers’ endless sloppiness with dangerous domestic objects, but they never mention their taste in men.
When the baby is eight months old, she cries every time I move out of sight. This separation anxiety can get quite wearing — it is so large and so illogical. Besides, I don’t need to be reminded that I’m not going anywhere, I am with this baby all the time. But I wonder if part of the problem isn’t my own anxiety when I leave the room. Will she still be alive when I get back? I picture the court case.
‘And why, pray tell, did you leave the baby?’
‘I . . . A call of nature, your honour.’
He pauses. A ripple of sympathy runs through the courtroom.
‘Well, I suppose even the best mothers must er um,’ though you know he thinks we shouldn’t. ‘Case dismissed. I suppose.’
Mothers worry. Fathers worry too, of course. But mothers are supposed to worry, and fathers are supposed to reassure. Yes, she is all right on the swing, no, he will not fall into the stream, yes, I will park the buggy in the shade, oh, please get a grip.
Is it really a gender thing? Maybe the people who worry most are the ones who spend the most time with the baby, because babies train us into it — the desperation of holding, walking, singing, distracting. Babies demand your entire self, but it is a funny kind of self. It is a mixture of the ‘all’ a factory worker gives to the conveyor belt and the ‘all’ a lover offers to the one he adores. It involves, on both counts, a fair degree of self-abnegation.
This is why people who mind children suffer from despair; it happens all of a sudden — they realise, all of a sudden, that they still exist. It is to keep this crux at bay perhaps — that is why we worry. Because worry is a way of not thinking something through.
I think worry is a neglected emotion — it is something that small-minded people do — but it has its existential side too. Here is the fire that burns, the button that chokes, here is the kettle, the car, the bacterium, the man in a mac. On the other side is something so vulnerable and yet so huge — there is something unknowable about a baby. And between these two uncertainties is the parent; completely responsible, mostly helpless, caught in an ever-shrinking circle of guilt and protectiveness, until a kind of frozen passivity sets in. There is a kind of freedom to it too — the transference of dread from the self to the child is so total: it makes you disappear. Ping! Don’t mind me.
The martyred mother is someone uplifted, someone who has given everything. She is the reason we are all here. She is also, and even to herself, a pain in the neck.
I think mothers worry more than fathers because worry keeps them pregnant. To worry is to possess, contain, hold. It is the most tenacious of emotions. A worry — and a worrier — never lets go. ‘It never ends,’ says my mother, ‘it never ends,’ meaning the love, but also the fret.
Because worry has no narrative, it does not shift, or change. It has no resolution. That is what it is for — not ending, holding on. And sometimes it is terrible to be the one who is held, and mostly it is just irritating, because the object of anxiety is not, after all, you. We slip like phantoms from our parents’ heads, leaving them to clutch some Thing they call by our name, because a mother has no ability to let her child go. And then, much later, in need, or in tragedy, or in the wearing of age, we slip back into her possession, because sometimes you just want your mother to hold you, in her heart if not in her arms, as she is still held by her own mother, even now, from time to time.
Anne Enright, ‘Worry’ in Making Babies: Stumbling into Motherhood, London: Vintage, 2005, 177-79.
คอยตรวจตราดูทุกครั้งเวลาที่ทารกตัวน้อยของคุณเงียบไป ไม่ใช่เพราะเด็กอาจจะสำลักหรอก แต่เพราะเด็กกำลังพังข้าวของอยู่ พังเบาๆ แต่ก็เอาเสียย่อยยับ แถมยังแอบกระหยิ่มยิ้มย่องไปด้วย จำตรงนี้ไว้ให้ดีนะ ถ้าคุณต้องวิ่งกลับไปที่ห้อง ไม่ใช่ไปดูเผื่อต้องกู้ชีพเด็ก แต่ไปเพื่อกู้ภัยฟลอปปีดิสก์ต่างหากล่ะ เมื่อไรก็ตามที่คุณเริ่มหาจุดสมดุลได้แล้ว เมื่อนั้นแหละคุณก็จะเป็นอิสระจากความกังวลที่คุมขังคุณอยู่ ฉันรู้เรื่องนี้ดี เชี่ยวชาญเลยล่ะ ผู้ใหญ่บางคนเวลาเดินขึ้นบันไดอาจจะเงี่ยหูฟังเสียงเด็กเล่นของเล่น แต่ถ้าเป็นฉันจะคิดว่าเสียงนั้นเป็นเสียงเด็กกำลังเตะกระดุมไปมาตอนกำลังสำลักหรือลมชักกำเริบ ฉันเคยอ่านบทชื่อ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ในพวกหนังสือเลี้ยงลูกยังไงให้ตายเป็นประจำ หนังสือจำพวกนี้เป็นที่นิยมมากเสียจนฉันสงสัยว่าจริงๆ แล้วพ่อแม่แอบอยากทำตามคำแนะนำในหนังสือหรือเปล่า สมมตินะว่าจิตไร้สำนึกทำงานอิงกับขั้วตรงข้าม ฉันว่ามันก็เป็นการฆาตกรรมเหมือนกันนะ ไอ้การคลอดลูกเนี่ย
เลี้ยงลูกยังไงให้ตาย: เกิดจากสิ่งต่อไปนี้
เกลือเกินขนาด น้ำผึ้งขึ้นรา พื้นลื่นจนชวนหกล้ม สัตว์เลี้ยงที่จู่ๆ ก็ขี้อิจฉา พี่น้องที่เมื่อไรก็ขี้อิจฉา พี่เลี้ยงบ้องตื้นหรือโรคจิต บันได บ้านที่ลุกเป็นไฟตอนที่คุณแค่ “ออกไปถอยรถข้างนอก” แก๊งลักเด็ก ของเล่นพลาสติกอันจ้อย การเขย่าเล่นๆ ที่แรงจนตัวโยก ลิ้นชักใส่มีดส้อมที่เปิดค้างไว้ สร้อยคอ เชือก ถุงพลาสติก เศษลูกโป่งแตก สายไฟ สายโทรศัพท์ อมยิ้ม ลวดขึงผ้าม่าน ลูกอมติดคอ หมอนที่จู่ๆ ก็กลายเป็นที่อุดจมูก ห้องควันโขมง ฟูกผิดประเภท หน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ อาการแพ้นม อาการแพ้ถั่ว แผลผึ้งต่อย ไวรัส แบคทีเรียติดเชื้อ รถหัดเดินที่ขาไม่เท่ากัน ขวดน้ำยาฟอกขาว น้ำยาฆ่าหญ้าทุกประเภททั้งตอนอยู่บนสนามหญ้าและตอนอยู่ในขวด ยาฆ่าแมลง ไอระเหยแบบต่างๆ สารก่อมะเร็งทุกรูปแบบรวมถึงแอปเปิล การลืมทาครีมกันแดด การไม่ใส่หมวก ไข่จากการเลี้ยงระบบปิด เนื้อไม่ออแกนิก รถยนต์ หรือตัวคุณเองอาจจะเป็นโรค MSBP[1]โดยไม่รู้ตัวก็ได้ ดังนั้นแนะนำให้คอยเช็คตัวเองซะบ้างเป็นบางครั้งบางคราวก็ดีนะ
เท่าที่ฉันเห็นจากพวกรายงานข่าว หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดในชีวิตเด็กก็คือพ่อเลี้ยง แต่หนังสือพวกนี้ไม่เห็นพูดถึงเลย หนังสือชอบเตือนเรื่องความประมาทเลินเล่อของแม่กับอุปกรณ์ในบ้านอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น แต่ไม่เห็นเคยเตือนเรื่องสเปคผู้ชายของแม่เลย
ตอนที่เด็กน้อยของฉันอายุแปดเดือน เธอจะร้องไห้ตลอดเวลาฉันไม่อยู่ในสายตา อาการวิตกกังวลตอนไม่อยู่ด้วยกันมันเริ่มมากเสียจนเหนื่อยใจ ทั้งมากและไร้เหตุผลสิ้นดี เอาจริงๆ นะ เธอไม่ต้องคอยเตือนฉันก็ได้ว่าฉันไปไหนไม่ได้เลยนอกจากคอยเฝ้าเด็กคนนี้ตลอดเวลา แต่ก็สงสัยเหมือนกันว่าส่วนหนึ่งของปัญหาอาจจะเป็นเพราะฉันเองนั่นแหละที่กังวลเวลาที่ตัวเองไม่อยู่ในห้อง พอฉันกลับเข้าห้องมาเธอจะยังมีชีวิตอยู่ไหมนะ ฉันเริ่มจินตนาการภาพการพิจารณาคดีในศาล
“ศาลต้องการทราบว่าเหตุใดจำเลยจึงทิ้งเด็กไว้ลำพัง”
“ดิฉัน...จำเป็นต้องไปปลดทุกข์ค่ะ ศาลที่เคารพ”
ท่านผู้พิพากษาเงียบ สัมผัสได้ถึงความเห็นอกเห็นใจที่แผ่ไปทั่วห้องพิพากษา
“เอาล่ะ ศาลเข้าใจว่าแม้กระทั่งแม่ที่ประเสริฐที่สุดก็ยังต้อง เอ่อ เอิ่ม” ถึงแม้จะรู้กันดีว่าท่านพิพากษาเห็นว่าแม่ไม่ควรทำแบบนั้น “ศาลยกฟ้อง ก็ได้”
แม่กังวล แน่นอนพ่อก็กังวล แต่แม่จำเป็นต้องกังวล ส่วนพ่อต้องคอยปลอบขวัญแม่ ใช้จ้ะ ลูกเล่นชิงช้าได้ไม่เป็นไร ไม่ ลูกไม่ตกน้ำหรอกจ้ะ ใช่จ้ะ เดี๋ยวเอารถเข็นไปจอดในร่ม โถ่ ใจเย็นๆ นะจ๊ะ
มันเกี่ยวกับเพศจริงๆ เหรอ บางทีคนที่กังวลที่สุดอาจเป็นคนที่ใช้เวลาอยู่กับเด็กมากที่สุด เพราะเด็กนั่นแหละที่ฝึกให้เรากังวล ไหนจะต้องอุ้ม ต้องพาเดิน ต้องร้องเพลง ต้องคอยเรียกร้องความสนใจ เด็กๆ ต้องการให้คุณทุ่มหมดตัว แต่เป็นการทุ่มหมดตัวแบบประหลาดๆ คือมันปนๆ กันระหว่างการ “ทุ่มหมดตัว” แบบที่พนักงานทุ่มให้กับสายพานในโรงงาน และการ “ทุ่มหมดตัว” ที่คนรักทุ่มให้กับคนที่เขารักสุดหัวใจ และการทุ่มทั้งสองแบบนี้มักมาคู่กับการลืมนึกถึงตัวเองอย่างไม่มากก็น้อย
นั่นแหละคือสาเหตุที่คนเลี้ยงเด็กจะรู้สึกสิ้นหวัง มันมักจะเกิดขึ้นแบบกะทันหัน จู่ๆ พวกเขาก็จะนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขามีตัวตน และเพื่อที่จะไม่ต้องคอยคิดถึงเรื่องนี้ พวกเราเลยต้องกังวล เพราะความกังวลมันทำให้เราสมองตื้อจนไม่ทันคิดถึงมัน
ฉันว่าความกังวลเป็นความรู้สึกที่คนมักมองข้ามนะ มันเป็นความรู้สึกของคนโลกแคบ แต่เอาจริงๆ มันก็มีด้านที่เป็นปรัชญาชีวิตอยู่ ตรงนึงก็มีทั้งไฟที่พร้อมจะไหม้ กระดุมที่พร้อมจะไปติดคอ ตรงนี้ก็มีกาต้มน้ำ มีรถยนต์ มีแบคทีเรีย มีผู้ชายชอบโชว์ แต่เมื่อมองไปอีกทางหนึ่งก็มีสิ่งที่ช่างบอบบางแต่ก็ช่างยิ่งใหญ่ในเวลาเดียวกัน มีบางอย่างเกี่ยวกับเด็กที่เกินกว่าผู้ใหญ่อย่างเราจะหยั่งถึง และระหว่างสองสิ่งที่เกินคาดเดานี้ก็มีพ่อแม่ ผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบ แต่จะกี่รอบก็ดูจนปัญญา ซ้ำยังติดอยู่ในวงเวียนของความรู้สึกผิดและความต้องการปกป้องดูแลที่บีบรัดพวกเขาอยู่ทุกวัน จนกระทั่งถึงจุดที่พวกเขาเริ่มหยุดนิ่งและไม่แคร์อะไรแล้ว การเป็นพ่อแม่ยังให้อิสระ เพราะมันคือการถ่ายทอดความกลัวที่พ่อแม่มีต่อตัวเองไปสู่ลูกอย่างสมบูรณ์ จนกระทั่งตัวพ่อแม่เองหายวับไปกับตา ปิ๊ง! ลืมไปเลยแล้วกันว่าเคยมีฉันอยู่
แม่ผู้พลีตนคือคนมีจิตผ่องแผ้ว คนที่ยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง แม่คนนี้แหละคือเหตุผลที่พวกเรามาอยู่ตรงนี้ แต่แม่คนนี้เหมือนกันที่แม้กระทั่งในสายตาของตัวเธอเองก็ยังโคตรน่ารำคาญเลย
ฉันคิดว่าแม่กังวลมากกว่าพ่อเพราะความกังวลทำให้พวกเธอตั้งครรภ์และคิดเรื่องสาระพันกันอยู่เรื่อยๆ การกังวลคือการครอบครอง การได้เอาอะไรมาใส่ตัว การได้กอดบางอย่างเอาไว้ มันเป็นความรู้สึกที่สลัดยังไงก็ไม่หลุด ความกังวลและคนขี้กังวลไม่มีทางยอมปล่อยมือ “มันไม่มีวันจบหรอก” แม่ฉันเคยบอกไว้ “มันไม่มีวันจบหรอก” สื่อว่าสิ่งที่ไม่จบคือความรัก รวมถึงความวิตกกังวลด้วย
เพราะความกังวลไม่มีเส้นเรื่องราว ไม่มีจุดพลิกผัน หรือจุดเปลี่ยน ไม่มีจุดคลี่คลาย นี่แหละคือสาเหตุที่มันดำรงอยู่ ไม่ใช่เพื่อจบบริบูรณ์ แต่เพื่อให้เรากอดเอาไว้ตลอดไป และบางครั้งมันแย่นะที่ต้องเป็นคนถูกกอด ส่วนใหญ่มันน่ารำคาญ เพราะในที่สุดแล้วสิ่งที่ทำให้พ่อแม่กังวลไม่ใช้ตัวเราหรอก เราจะหลุดหายไปจากใจของพ่อแม่เหมือนเป็นวิญญาณ ปล่อยให้พวกเขายึดสิ่งนั้นที่เขาเรียกด้วยชื่อของเรา เพราะคนเป็นแม่ไม่สามารถปล่อยลูกไปได้ และหลังจากนั้นไปอีกนาน ไม่ว่าจะด้วยความต้องการ หรือด้วยโศกนาฏกรรม หรือด้วยความแก่เฒ่า เราจะกลับไปอยู่ในครอบครองของแม่ เพราะบางครั้งเราก็แค่ต้องการให้แม่กอดเราไว้ในหัวใจถ้าไม่ใช่ด้วยสองแขน เหมือนกับที่แม่เองก็ถูกกอดไว้โดยแม่ของแม่ แม้กระทั่งทุกวันนี้ เป็นบางครั้งบางคราว
[1] Munchausen’s syndrome by proxy หรืออาการที่คนดูแลกุสถานการณ์หรือก่อให้เกิดสถานการณ์บาดเจ็บทางสุขภาพต่อผู้ที่ถูกดูแล ซึ่งมักเป็นการกระทำที่ผู้ใหญ่กระทำต่อเด็ก
Translation Commentary
Monthita Rojtinnakorn
“Worry” is by far my personal favourite of Enright’s original works in this collection. It is both humorous and heart-warming, and I experienced a rollercoaster of emotions while reading it. Regardless, I spent a significant amount of time contemplating on what would be the appropriate translations that maintain the text’s clever sense of humour successfully achieved by Enright.
The very first sentence I encountered a problem with was “in the middle of destroying something, thoroughly and slowly, with great and secret pleasure.” What would be the right translation for “thoroughly and slowly” that conveys the sense of quiet but total destruction carried out by the baby? One of my colleagues who teaches translation studies suggested that an internal rhyme is a good option to convey humour in Thai, and that feature also parallels a rhyme between “thoroughly” and “slowly.” He suggested “เพราะเด็กกำลังพังข้าวของอยู่ พังเบาๆ แต่ก็เอาเสียย่อยยับ” which adds a sense of humour in Thai while the word “ย่อยยับ” also demonstrates an image of thorough destruction. He also helped add “แถมยังแอบกระหยิ่มยิ้มย่องไปด้วย,” which contains both internal rhyme and alliteration, as a translation for “with great and secret pleasure.”
The book title “How to Kill Your Baby” is an entertaining one to translate. It is clearly a sarcastic one in English, but a literal translation in Thai might take away that sarcasm. I therefore decided to choose “How to Raise Your Baby so That (It) Dies” (เลี้ยงลูกยังไงให้ตาย), which is more appropriate for a Thai sense of humour, having added an internal rhyme between ไง and ให้.
The list of things that can kill a baby contains many tough words to translate due to similar difficulty in translating humour and some ambiguity in the expressions. The first example is “an inhaled sweet” which has become a dispute between two of my reviewers. One agreed with my translation of “a candy that is stuck in one’s throat” (ลูกอมติดคอ) whereas the other suggested that I translate it literally. I chose to keep my initial translation as I considered it would not make sense in the story’s context if the phrase were translated literally in Thai. I also altered some other expressions in the list to provide more understanding, such as substituting “an accidentally suffocating pillow” with “a pillow that suddenly becomes a nose blockage” (หมอนที่จู่ๆ ก็กลายเป็นที่อุดจมูก), “a failure to apply sun cream” with “forgetting to apply sun cream” (การลืมทาครีมกันแดด), “the lack of hat” with “not wearing a hat” (การไม่ใส่หมวก), and “a man in a mac” (which appears later in the story) with “an exhibitionist man” (ผู้ชายชอบโชว์). The last alteration was done because a mackintosh is uncommonly worn in Thailand, so it is unlikely that people would associate it with exhibitionism.
Further in the list, I transcribed the word “organic” in “inorganic meat” instead of translating it into Thai. This is because, although there is a Thai equivalent for translation, the word “organic” is usually used as it is in English when referred to an organic product. The actual translation will take away the meaning that Thai people understand of what an organic product is. Unfortunately, due to the limitation of language I also had to omit the cleverly funny alliteration in “a bacterial infection, a badly balanced walker, a bottle of bleach, all kinds of weedkiller, both on the lawn or in the bottle.”
Another challenging part of the translations is the speaker’s imaginary court case. It requires legal jargons to fit in with the context, and there are some expressions that are not readily understandable through literal translation. One example is “a call of nature” which is a polite term in English for the need to use the bathroom. There is, however, no literal translation in Thai. One of my reviewers, Dr. Carina Chotirawe suggested “จำเป็นต้องไปปลดทุกข์” which can be an equivalent in Thai. It literally means “needing to go get rid of one’s misery.” The sentence “A ripple of sympathy runs through the courtroom” is significantly hard to find the right expression for. I chose “สัมผัสได้ถึงความเห็นอกเห็นใจที่แผ่ไปทั่วห้องพิพากษา,” which shows that the sympathy is being spread through the entire courtroom, to convey the sense of ripple. The last example is “Case dismissed. I suppose” as it is quite unlikely that an actual judge would say this. One of my colleagues helped me come up with “ก็ได้” for “I suppose” to portray the uncertainty and unwillingness expressed by the judge.
There are more instances where I was required to add or alter the words to conform with the nature of Thai language. During the part that portrays a father speaking to a mother, “Yes, she is all right on the swing, no, he will not fall into the stream, yes, I will park the buggy in the shade, oh, please get a grip,” I had to add the polite particle “จ้ะ” (pronounced “ja”) to convey that the speaker is trying to calm the listener down. Without “จ้ะ,” the sentences in Thai will sound too cold and abrupt, which does not go along with the father’s intention to calm everything down. The particle “จ้ะ” also helps demonstrate a sense of intimacy between the parents.
In the sentence, “Babies demand your entire self, but it is a funny kind of self. It is a mixture of the ‘all’ a factory worker gives to the conveyor belt and the ‘all’ a lover offers to the one he adores,” I could not translate the word “all” literally but had to add “giving one’s (all)” to the phrase. The translation for the word “all” that can be used in this context is “หมดตัว,” which, by itself, means to be rid of everything one owns, especially money. This will change the meaning of the entire sentence; thus, more words were added.
I was also aware that the author could be making a pun on “a worrier” and “a warrior” in “A worry — and a worrier — never lets go” to both convey the worry and the determination of parents. However, I could not find an equivalent to create this pun in Thai. This is a similar issue to “because worry keeps them pregnant” which could be interpreted as the worry literally making the mothers pregnant, or the word “pregnant” implying the load of thoughts that are piled up on them and make them swollen. For the former case, I decided to leave out “warrior,” but for the latter I added both meanings to the translation with the help of Dr. Ming Panha, making it “worry keeps them pregnant and filled with thoughts constantly” (ความกังวลทำให้พวกเธอตั้งครรภ์และคิดเรื่องสาระพันกันอยู่เรื่อยๆ).
A couple of final noteworthy points are the necessity to alter the sentence structure due to the lack of punctuation in Thai, as I discovered in all other translations I made for the project. Sometimes, this leads to an unfortunate loss in humour or emphasis, such as in “so it is a good idea to check yourself for this, from time to time” where the comma creates a pause that puts emphasis on the phrase “from time to time. This phrase appears again in the last sentence of the story to tie everything together. However, Thai has no space between words in a sentence and no punctuation to separate the sentence. Using a space to single out the phrase could work but it makes the translation appear unnatural. I decided to keep the sentence without the pause so that it reads more appropriately in Thai. Thai also has no capital letters, thus the word “Thing” from “leaving them to clutch some Thing they call by our name” needs to be given emphasis in some other ways, in this case I chose an italic as an alternative.
Overall, I find “Worry” to be the most challenging excerpt from the project in the aspect of translating humour. Nevertheless, it is precisely what makes my translation of “Worry” both enjoyable and rewarding.